พุธ. ธ.ค. 3rd, 2025

เปิดใจ ทำความรู้จัก “ โรคจิตเภท ” พบได้ 1 ในร้อย รักษาได้ด้วยความเข้าใจ

โรคจิตเภท

เปิดใจ ทำความรู้จัก “ โรคจิตเภท ” พบได้ 1 ในร้อย รักษาได้ด้วยความเข้าใจ

 

เมื่อพูดถึง “โรคจิตเภท” หลายคนอาจนึกถึงภาพของคนที่พูดคนเดียว คุ้มดีคุ้มร้าย หรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น ภาพเหล่านี้เกิดจากความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกในสังคมมานาน แต่แท้จริงแล้ว คือ โรคทางสมองที่มีความผิดปกติของการรับรู้และการคิดที่ทำให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถรักษาได้ ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเมื่อได้รับการรักษาดูแลอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะอาการ 

เป็นโรคที่พบได้ประมาณ 1 ใน 100 คน โดยมักเริ่มแสดงอาการในวัยรุ่นตอนปลายหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อาการเหล่านี้อาจค่อย ๆ พัฒนา ทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวไม่รู้ตัวตั้งแต่แรกว่ากำลังเผชิญกับโรคนี้ อาการที่พบได้บ่อย คือ

  • การได้ยินเสียงคนพูดทั้งที่ไม่มีใครอยู่
  • เห็นภาพหลอน
  • มีความคิดหลงผิด เช่น เชื่อว่ามีคนปองร้าย สะกดรอยตาม หรือเชื่อว่าตนเองมีพลังวิเศษ
  • บางคนอาจกลายเป็นคนเงียบลง ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ไม่สนใจสิ่งรอบตัว หรือขาดความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมที่เคยชอบ
  • บางรายมีปัญหาด้านสมาธิ คิดเชื่อมโยงไม่ต่อเนื่อง
  • พูดคุยสับสนจนคนรอบข้างฟังไม่เข้าใจ

ภาพจาก iStock

 

โรคจิตเภท มีสาเหตุจากอะไร

มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง โดยเฉพาะสารโดปามีน ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงของการเกิดโรคสูงขึ้นกว่าคนทั่วไป อย่างไรก็ดี ปัจจัยทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการก่อโรค ปัจจัยทางจิตสังคม เช่น การเผชิญกับความเครียดรุนแรงในชีวิต การถูกกดดันหรือขาดการสนับสนุนทางอารมณ์ เป็นอีกส่วนที่สำคัญที่อาจกระตุ้นให้เกิดการแสดงอาการของโรคขึ้นมาได้

นอกจากนี้ การใช้สารเสพติด เช่น กัญชา ยาบ้า ยาไอซ์ ยังเป็นปัจจัยเร่งการเกิดโรคที่พบได้บ่อยในคนหนุ่มสาว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ สารเหล่านี้ไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทสมองและทำให้เกิดอาการของโรค จิตเภท โดยเฉพาะในคนที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม หรือมีความเปราะบางทางสมองอยู่เดิม ในผู้ป่วยที่รักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว สารเสพติดยังเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้โรคกำเริบได้ ดังนั้นการงดใช้สารเสพติดจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการป้องกันการเกิดโรค จิตเภท และลดโอกาสในการกลับเป็นซ้ำ

วิธีรักษาโรค จิตเภท

การรักษาโรค จิตเภท ทำได้ด้วยการใช้ยารักษาอาการทางจิตทั้งในรูปแบบยากินหรือยาฉีด ซึ่งช่วยควบคุมอาการประสาทหลอนและความคิดผิดปกติได้ดี ยาเหล่านี้ไม่ใช่ยาที่ทำให้เสพติด การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์โดยไม่หยุดยาเอง เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามีกระบวนการคิดและการรับรู้ที่เป็นปกติมากขึ้น และช่วยลดโอกาสการกำเริบซ้ำได้ ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือตอบสนองต่อยาได้ไม่ดี อาจได้รับการบำบัดทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยให้อาการทุเลาลงได้ นอกจากนี้ การทำจิตบำบัด การฝึกทักษะทางสังคม และการฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตและทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพอีกครั้ง

ความเข้าใจช่วยเยียวยาผู้ป่วยโรคจิตเภท

นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว ครอบครัวและคนรอบข้างก็ยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ การรับฟังโดยไม่ตัดสินและการให้กำลังใจด้วยความเข้าใจ จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าและอยากดูแลตัวเองต่อไป ควรหลีกเลี่ยงการตำหนิหรือการกดดันทางอารมณ์ เพราะอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้อาการแย่ลง และควรช่วยส่งเสริมดูแลให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ตามนัด กินยาต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ และสังเกตอาการเตือนของการกำเริบ เช่น นอนไม่หลับ เริ่มหวาดระแวง หรือพูดจาแปลกไป หากพบสิ่งผิดปกติควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ “การให้โอกาสทางสังคม” ผู้ป่วยโรค จิตเภทส่วนใหญ่ไม่ได้อันตรายอย่างที่ผู้คนมักเข้าใจกัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่เคยทำร้ายใคร ในทางตรงกันข้าม กลับตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดและความรุนแรงได้ง่าย ผู้ป่วยจำนวนมากที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนอาการดีขึ้น สามารถกลับไปเรียน ทำการงาน ดูแลครอบครัว และทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ หากได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม การจ้างงานที่เปิดกว้างและสภาพแวดล้อมที่ไม่ตีตรา ยอมรับในข้อจำกัดจากความเจ็บป่วย ส่งเสริมศักยภาพที่มี และให้การช่วยเหลือสนับสนุนที่จำเป็น จะช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจในการทำงาน ภาคภูมิใจในชีวิตมากขึ้น และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนสู่สุขภาวะและกลับสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน

ภาพจาก iStock

 

ในปัจจุบัน ตราบาปและความเข้าใจผิดของคนในสังคมเกี่ยวกับโรค จิตเภทยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ในการเข้าสู่การรักษา รวมถึงการกลับไปทำงานและใช้ชีวิตในสังคมของผู้ป่วย แต่เราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยการมองผู้ป่วยอย่างมนุษย์คนหนึ่งซึ่งอาจมีข้อจำกัดบางประการจากความเจ็บป่วย แต่ก็มีศักยภาพ มีความตั้งใจ และต้องการเพียงความเข้าใจ การยอมรับ และการให้โอกาสของคนในสังคม เพียงแค่นี้ การป่วยด้วยโรค จิตเภทก็จะไม่ใช่ความสิ้นหวังของใครบางคนอีกต่อไป แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่จะปรับตัวกับโรค สามารถกลับมาดูแลตนเองและครอบครัวได้เต็มศักยภาพที่มีอย่างไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง และสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมแห่งความเมตตาและการเกื้อกูลกันที่มา : ผศ. ดร. พญ. ธนาวดี ประชาสันติ์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล svong-1

By svong-1

Related Post