รู้จัก “ แผนจักรพงษ์ภูวนาถ ” คืออะไร? ไม่ใช่แผนการรุก
แต่เป็นแผนเผชิญเหตุ เคยใช้ในศึกเขาพระวิหารปี 54 ทัพกัมพูชาพ่ายยับ
หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดลูกที่ 2 บริเวณชายแดน จนได้รับบาดเจ็บขาขวาขาด สถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง รัฐบาลไทยได้มีคำสั่งเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศ พร้อมส่งตัวทูตกัมพูชากลับประเทศเช่นกัน รวมถึงการพิจารณาปิดด่านชายแดนและปิดปราสาทบางแห่งชั่วคราว ขณะที่กองทัพไทยออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าว ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เตรียมพร้อมภายใต้ ซึ่งเป็นแผนเผชิญเหตุสำคัญของไทยที่ถูกนำมาใช้ในภาวะตึงเครียดเช่นนี้
แผนจักรพงษ์ภูวนาถ คืออะไร?
ไม่ใช่แผนการรุกหรือทำสงครามกับกัมพูชาโดยตรง แต่เป็น “แผนเผชิญเหตุ” สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออก ชื่อแผนตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอมพลเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย ผู้วางรากฐานด้านการทหารในยุคปฏิรูประบบราชการ
แผนนี้ถูกใช้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามในทุกระดับ ตั้งแต่การป้องกันชายแดนในภาวะปกติ ไปจนถึงการตอบโต้หากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น
โครงสร้างแผนป้องกันประเทศของไทย แบ่งออกเป็น 3 ขั้นหลัก
ขั้นปกติ – ใช้กำลังทหารประจำพื้นที่ชายแดน เช่น กองกำลังบูรพา กองกำลังสุรนารี และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด (ดูแลโดยกองทัพเรือ) เพื่อเฝ้าระวังและสกัดภัยคุกคามเบื้องต้น
ขั้นตอบโต้ – ใช้เมื่อเกิดภัยคุกคามชัดเจน ต้องใช้กำลังขนาดใหญ่เข้าควบคุมสถานการณ์
ขั้นป้องกันประเทศ – ระดมสรรพกำลังทั้งประเทศในกรณีวิกฤติ ซึ่งเทียบเท่าการประกาศสงคราม
บทบาท
แผนนี้ครอบคลุมการทำงานตั้งแต่ “ขั้นปกติ” ไปจนถึง “ขั้นตอบโต้” เท่านั้น โดยออกแบบมาเพื่อรับมือกับแนวทางการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามในกรณีที่เลวร้ายที่สุด (Most Dangerous Course of Action) แต่ไม่ใช่แผนที่จะนำไปสู่การทำสงครามหรือการระดมพลระดับประเทศ สำคัญคือ แผนนี้มีลักษณะ “ป้องกันและตอบโต้” ไม่ใช่แผนรุกหรือยึดครอง อันสะท้อนเจตนาชัดเจนของฝ่ายไทยว่ามุ่งปกป้องอธิปไตย และรับมือกับภัยคุกคามเท่านั้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาเมื่อปี 2554 ที่ถือว่าอยู่ในระดับ “ขั้นปกติ”ทั้งนี้ สถานการณ์ล่าสุดไทย-กัมพูชาอาจกำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง แต่การที่กองทัพนำ มาใช้นั้น เป็นการส่งสัญญาณเตรียมพร้อมในเชิงป้องกัน ไม่ใช่เพื่อยกระดับสู่การเผชิญหน้าเต็มรูปแบบประชาชนควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด พร้อมเข้าใจเจตนารมณ์ของแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ว่า ไทยยังคงเน้น “ปกป้องดินแดน” มากกว่าการเปิดศึก svong-1